ส่วนติดต่อผู้ใช้ยังมีส่วนที่ขยายขีดความสามารถในคำสั่งแก้ไขข้อมูล
(editing command) อยู่ด้วย
ซึ่งเป็นการกำหนดค่าให้แก่ฟังก์ชันคีย์ต่างๆ
ซึ่งผู้ใช้สามารถที่จะแก้ไขคำสั่งที่ป้อนเข้าไปได้ในขณะที่กำลังพิมพ์คำสั่งนั้น
Command
|
Description
|
Ctrl+a
|
Moves to the beginning of the command line
|
Ctrl+e
|
Moves to the end of the command line
|
Esc+b
|
Moves back one word
|
Ctrl+f (or right arrow)
|
Moves forward one character
|
Ctrl+b (or left arrow)
|
Moves back one character
|
Esc+f
|
Moves forward one word
|
ตารางแสดงรายการคำสั่งที่ใช้การกดแป้นพิมพ์เพื่อเลื่อนตัวชี้ตำแหน่งข้อความ
(cursor) ไปยังตำแหน่งที่ต้องการได้เพื่อทำการแก้ไขข้อความ
ณ ตำแหน่งนั้นให้ถูกต้องก่อนที่จะป้อนให้ Router ประมวลผล
แม้ว่าส่วนขยายขีดความสามารถในคำสั่งแก้ไขข้อมูลนี้จะได้รับการกำหนดขึ้นมาใช้งานโดยอัตโนมัติในซอฟต์แวร์รุ่นปัจจุบัน
ผู้ใช้สามารถที่จะยกเลิกการใช้ส่วนขยายขีดความสามารถนี้ได้ด้วยการป้อนคำสั่ง “terminal
no editing” เมื่ออยู่ในสถานะ privileged EXEC mode
ชุดคำสั่งในการแก้ไขข้อมูลช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลื่อน “scrolling” คำสั่งต่างๆ ที่อยู่ในบรรทัดหนึ่งบนหน้าจอภาพได้
เมื่อเครื่องหมายชี้ตำแหน่ง (cursor) ชี้ที่ตำแหน่งขวาสุด
คำสั่งในบรรทัดนั้นจะเลื่อนไปทางซ้าย 10
ตัวอักษร โดยอัตโนมัติ ตัวอักษรทางซ้ายสุด 10 ตัวอักษรนั้นจะไม่ปรากฎอยู่บนจอภาพอีกต่อไป
แต่ผู้ใช้สามารถที่จะเลื่อนคำสั่งในบรรทัดกลับมาที่ตำแหน่งเดิมเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งในบรรทัดนั้นได้
ผู้ใช้สามารถกดแป้น “Ctrl+b”
หรือใช้แป้นลูกศรชี้ไปทางซ้ายซ้ำกันหลายๆครั้งเพื่อเลื่อน cursor กลับไปที่ตำแหน่งซ้ายสุดของข้อความบรรทัดนั้น หรือใช้แป้น “Ctrl+a” ก็จะนำcursor กลับไปที่ตำแหน่งซ้ายสุดของข้อความในบรรทัดนั้นในทันที
ในคำสั่งต่อไปนี้
คำสั่งที่ป้อนเข้าไปนั้นยาวเกินกว่าที่จะแสดงให้เห็นทั้งหมดในบรรทัดเดียวกันได้
Cisco>$
value for our customer, employees, investor and partners
เมื่อ cursor ชี้ไปที่ตำแหน่งขวาสุดของบรรทัดนี้
บรรทัดนี้จะถูกเลื่อนไปทางซ้าย 10 ตัวอักษร โดยอัตโนมัติ
เครื่องหมาย “$”
ที่ตอนต้นของบรรทัดคำสั่งเป็นตัวชี้ให้เห็นว่าคำสั่งบรรทัดนี้ได้ถูกเลื่อนออกไปทางซ้ายแล้ว
ในทุกครั้งที่เครื่องหมาย cursor เลื่อนไปที่ตำแหน่งขวาสุดของบรรทัด
คำสั่งจะถูกเลื่อนไปทางซ้ายอีก 10 ตัวอักษรทุกครั้งไป
อย่างไรก็ตามข้อความที่แสดงให้เห็นอาจแตกต่างกันไปบ้างขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ Cisco IOS Software รุ่นที่ใช้งานอยู่ในเครื่องนั้นๆ
การดูคำสั่งที่ใช้ไปแล้วใน Router
ส่วนติดต่อผู้ใช้ยังมีขีดความสามารถในการจดจำคำสั่งที่ใช้งานไปแล้ว
ความสามารถนี้จะมีประโยชน์ในการเรียกใช้คำสั่งที่ได้ใช้งานไปแล้วซ้ำอีกซึ่งอาจมีความซับซ้อนทำให้ไม่สามารถจดจำได้โดยง่าย
ความสามารถนี้ช่วยในการทำงานต่อไปนี้ให้สำเร็จได้
- กำหนดขนาดของบัฟเฟอร์สำหรับคำสั่งที่ใช้งานไปแล้ว
- เรียกใช้คำสั่งซ้ำ
- ยกเลิกการบันทึกคำสั่งที่ใช้งานไปแล้ว
โดยปกติแล้วบันทึกคำสั่งที่ใช้งานไปแล้วจะถูกกำหนดให้ทำงานอยู่เสมอซึ่งระบบจะจดจำคำสั่งที่ได้ใช้
งานไปแล้วจำนวน 10 คำสั่งหลังสุดไว้ในบัฟเฟอร์
การเลี่ยนแปลงจำนวนคำสั่งที่ระบบจะจดจำไว้ในระหว่างการ login เข้ามาในช่วงเวลาหนึ่ง (เรียกว่า terminal session) ให้ใช้คำสั่ง
“terminal history size” หรือ “history size” จำนวนสูงสุดที่เป็นไปได้คือ 256 คำสั่ง
คำสั่ง
|
คำอธิบาย
|
Ctrl+p
|
การกดแป้นพิมพ์นี้
หรือใช้ปุ่มลูกศรชี้ขึ้นจะทำการเรียกคำสั่งที่ถูกสั่งใช้งานไปแล้วมาจากบัฟเฟอร์
|
Ctrl+n
|
การกดแป้นพิมพ์นี้
หรือใช้ปุ่มลูกศรชี้ลงจะทำการเรียกคำสั่งที่ถูกใช้งานไปแล้วครั้งล่าสุดมาจากบัฟเฟอร์
|
Show history
|
จะแสดงคำสั่งที่ถูกบันทึกไว้ทั้งหมด
|
terminal history
[size number-of-lines]
|
กำหนดขนาดของบัฟเฟอร์
|
terminal no editing
|
ยกเลิกการบันทึกคำสั่งที่ใช้งานไปแล้ว
|
Router> terminal editing
|
กำหนดให้ทำการบันทึกคำสั่งที่ใช้งานไปแล้ว
|
Tab
|
ทำให้คำสั่งที่กำลังป้อนเข้าไปนั้นเสร็จสิ้น
|
ในการเรียกใช้คำสั่งที่บันทึกอยู่ในบัฟเฟอร์ออกมาใช้ให้กดแป้น
Ctrl+p เมื่อยังคงกดแป้นนี้ซ้ำ หรือใช้แป้นลูกศรชี้ขึ้นก็จะเป็นการเรียกคำสั่งย้อนหลังไปทีละลำดับ
เมื่อต้องการเรียกคำสั่งที่ใหม่กว่าเดิมก็ให้กดแป้น Ctrl+n หรือแป้นลูกศรชี้ลง
วิธีการที่จะช่วยให้การพิมพ์คำสั่งเข้าไปสั้นลง
คือ ให้พิมพ์ตัวอักษรที่เป็นคำเฉพาะสำหรับคำสั่งนั้นแล้วให้กดปุ่ม Tab ซึ่งส่วนติดต่อผู้ใช้จะทำการเติมคำสั่งนั้นให้เต็มให้โดยอัตโนมัติ
ในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนมากจะมีคำสั่งในการเลือกและทำสำเนาไว้ให้ใช้
คำสั่งที่ได้เคยใช้แล้วนั้นจะสามารถทำสำเนาแล้วใส่เข้ามาในคำสั่งปัจจุบันได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น